มิตรผล จับมือ กฟผ. ลงนามวิจัยพัฒนาพลังงานหมุนเวียน”ชีวมวล” ลด PM 2.5

กลุ่มมิตรผล จับมือ กฟผ. ลงนามความเข้าใจสนับสนุนการวิจัยพัฒนาองค์ความรู้แห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยี ด้านพลังงานหมุนเวียน ‘ชีวมวล’ ลดการเผาไหม้ แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ลดปัญหา PM 2.5


วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ”รายงานว่า นายบรรเทิง ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการบริษัท และประธานกรรมการบริหาร กลุ่มมิตรผล และนายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้แห่งนวัตกรรม ด้านพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด ประเภทชีวมวล และอื่น ๆ สู่การเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการ กฟผ. เปิดเผยว่า กฟผ. และ กลุ่มมิตรผล มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันมาอย่างยาวนาน ได้ร่วมกันนำจุดแข็งของทั้ง 2 องค์กรมาร่วมสร้างสรรค์สิ่งที่ดีมาโดยตลอด ซึ่งหลายแนวคิดของกลุ่มมิตรผลเป็นแนวคิดที่เป็นแบบอย่างที่ดี เช่น การใช้ Circular Economy ในองค์กร นำทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์สุงสุด

“กฟผ. มีความรู้และประสบการณ์ในด้านดูแลบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า ได้นำองค์ความรู้ของ กฟผ. มาศึกษา วิจัยและพัฒนาอุปกรณ์หม้อน้ำในโรงไฟฟ้าชีวมวลของกลุ่มมิตรผล ให้สามารถรองรับการใช้ใบอ้อยเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าได้ “

นอกจากนั้น ทั้ง กฟผ. และ กลุ่มมิตรผล ยังได้ร่วมมือกันสนับสนุนงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานหมุนเวียน พลังงานสะอาด และระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำ (Floating Solar) ระหว่าง EGATi (บริษัทในเครือ กฟผ.) และ กลุ่มมิตรผล อีกทั้งยังได้ร่วมกันพัฒนาลีโอนาไดต์และยิปซั่มสังเคราะห์ซึ่งเป็นวัตถุพลอยได้ของ กฟผ.แม่เมาะ เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย

ด้านนายบรรเทิง ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการบริษัท และประธานกรรมการบริหาร กลุ่มมิตรผล กล่าวว่า กลุ่มมิตรผลได้ดำเนินธุรกิจบนเส้นทางอุตสาหกรรมอ้อย น้ำตาล และชีวพลังงาน โดยมุ่งมั่นพัฒนาต่อยอดคุณค่าจากอ้อย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทุกกระบวนการผลิต นำไปสู่การต่อยอดธุรกิจ

“กว่าจะมาถึงวันนี้ กฟผ. และ กลุ่มมิตรผล ใช้เวลาทำงานร่วมกันมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่การทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า การทำโรงไฟฟ้าชีวมวลโดยใช้เชื้อเพลิงชานอ้อย จนกระทั่งสามารถนำใบอ้อยซึ่งเป็นสิ่งเหลือทิ้งด้านการเกษตรที่มีจำนวนมากในแต่ละปี มาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าได้โดยได้รับความร่วมมือด้านองค์ความรู้จาก กฟผ. ซึ่งนอกจากจะสร้างรายได้ให้เกษตรกรแล้วยังช่วยลดการเผาไหม้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน และลดปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ได้อีก”


อ้างอิง : https://www.prachachat.net/economy/news-864295