5 องค์กร จับมือร่วมพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)ของประเทศ

5 องค์กร จับมือร่วมพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) ของประเทศ

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  กรมธุรกิจพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ประกาศเจตนารมณ์ร่วมพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Smart EIA Management System : SEMs) เพื่อบริหารจัดการและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามข้อกำหนด EIA ส่งผลให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนสามารถวางแผนพัฒนาโครงการอย่างถูกต้อง สอดคล้องกับกฎหมายและข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศต่อไป

นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวภายหลังร่วมแสดงความยินดีในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนา Smart EIA Management System (SEMs) ระหว่าง สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) โดยระบุว่า ความร่วมมือในการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Smart EIA Management System : SEMs) ครั้งนี้ เป็นความประสงค์ร่วมกันของทุกฝ่ายในการจัดทำและสนับสนุนข้อมูลกฎหมายและข้อกำหนดด้านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งระบบ SEMs เป็นระบบที่ใช้กลั่นกรองประเภทและขนาดโครงการที่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานฯตามกฎหมาย อีกทั้งระบบดังกล่าวยังสนับสนุนข้อมูลสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบ SEMs ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการและนักลงทุนเพื่อใช้ในการวางแผนพัฒนาโครงการให้ถูกต้อง สอดคล้องกับกฎหมายและข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ 

 “กระบวนการจัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) มีหลายขั้นตอนและรายละเอียดสำคัญอาจที่ต้องใช้เวลานาน แต่หลังจากการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มร่วมกันแล้ว ในเบื้องต้นจะช่วยลดขั้นตอนกระบวนการการประเมินให้สะดวกและรวดเร็วขึ้น โดยระบบจะเป็นด่านแรกของการกลั่นกรองประเภทและขนาดของโครงการว่าจะเข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุนให้สามารถวางแผนพัฒนาโครงการให้ถูกต้อง สอดคล้องกับกฎหมายและข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศต่อไป”นางสาวสมจิณณ์ พิลึก กล่าว

สำหรับการลงนามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้ ทั้งห้าฝ่ายเห็นร่วมกันในการสนับสนุนข้อมูลและผลักดันความร่วมมือครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดย 
สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและสนับสนุน การจัดทำและวิเคราะห์ข้อมูลด้านกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ต้องดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 รวมทั้งการสนับสนุนข้อมูลสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน และเผยแพร่การใช้งาน SEMs 

กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและสนับสนุน การจัดทำและวิเคราะห์ข้อมูลด้านกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมของการพัฒนาโครงการ ที่ต้องดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2542 และสนับสนุนข้อมูลสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน 

สำนักงาน กกพ. มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและสนับสนุน การจัดทำและวิเคราะห์ข้อมูลด้านกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของการพัฒนาโครงการ ที่ต้องดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550  

กนอ.มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและสนับสนุน การจัดทำและวิเคราะห์ข้อมูลด้านกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของการพัฒนาโครงการในเขตนิคมอุตสาหกรรมภายใต้พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรม พ.ศ.2522 ในเขตนิคมอุตสาหกรรม และท่าเรืออุตสาหกรรมที่ กนอ. กำกับดูแล

โดย ปตท.สนับสนุนแปลผล และวิเคราะห์ข้อมูลจากทั้ง ๕ หน่วยงานที่ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ ออกแบบพัฒนาแพลตฟอร์มแบบประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) และเผยแพร่ผลการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) เพื่อเป็นเครื่องมือเบื้องต้นในการตรวจสอบผลการเข้าข่ายประเภทและขนาดโครงการที่ต้องจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อมตามกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสร้างต้นแบบระบบฐานข้อมูลการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) ในพื้นที่อำเภอมาบตาพุด จังหวัดระยอง

“ความร่วมมือดังกล่าว เป็นนิมิตหมายที่ดีในการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน อันจะมีส่วนเอื้อต่อการพัฒนากระบวนการประเมินผลสิ่งแวดล้อมให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป” ผู้ว่าการ กนอ.กล่าวปิดท้าย 


---------------------------------------------------
ที่มา : กองประชาสัมพันธ์ 
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
8 มีนาคม 2564